::: กรรมฐาน ณ บ้านหลังสุดท้าย :::
::: กรรมฐาน ณ บ้านหลังสุดท้าย :::
เมื่อ 3 ปีที่แล้วแฟนผมไม่สบายใจมาก บอกว่าหมอดูทักมาว่าผมกำลังดวงไม่ดีต้องทำบุญใหญ่ ผมจึงตอบภรรยาว่า งั้นบวชไหมล่ะ สำหรับผู้ชายที่นับถือศาสนาพุทธ การบวชน่าจะสร้างบุญได้สูงสุดแล้ว ภรรยาก็ตกลงยอมให้เราไปบวชอีกครั้ง
การบวชครั้งที่ 2 ของผมค่อนข้างเหมือนไปพักร้อนมากกว่า พอคิดจะบวชอีกครั้งก็รู้สึกว่าบวชที่ไหนก็ได้ เพราะเราพอมีความเข้าใจ มีวิธีปฏิบัติภายในตัวแล้ว ผิดกับรอบแรกซึ่งตอนนั้นยังค่อยไม่รู้อะไร รู้สึกว่าทุกอย่างต้องตรงเป๊ะมากๆ สุดท้ายก็เลือกบวชที่วัดคลองปลัดเปรียง วัดแถวบ้านย่านบางนา
ระหว่างบวช ผมก็นำต้นฉบับหัวใจตื่นรู้ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเขียนต้นฉบับเสร็จรอบแรกติดไปอ่านด้วย เพื่อแก้ไขและปรับแต่งสิ่งที่ได้เขียนไป ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าการได้ทำต้นฉบับเล่มนี้ มีส่วนอย่างมากในการพัฒนาภายใน ทำให้เกิดการใคร่ครวญและทบทวนความเข้าใจของเราใหม่ และสามารถมีความสงบนิ่งภายในอีกด้วย
จนค่ำวันหนึ่งในระหว่างบวชเป็นพระครั้งที่ 2 นี่แหละ ผมจำได้ว่าเย็นวันนั้นฝนตกเบาๆ อากาศเย็นสบายมาก ผมรู้สึกสบายๆ ตอนนั้นประมาณทุ่มหนึ่งกว่าๆ ผมนั่งสมาธิอยู่กำลังรู้เนื้อรู้ตัวตามปกติ กุฏิที่ผมจำวัดจะอยู่ข้างศาลา เวลานั่งสมาธิจึงได้ยินเสียงพระสวดอภิธรรม
ขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็มีจังหวะของความเปลี่ยนแปลงที่มากระทบทางหู ผมรับรู้ในขณะนั้นว่าเมื่อพระเริ่มสวด แขกที่กำลังคุยก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง พอพระสวดเสร็จ เสียงแขกในงานค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงขยับของเก้าอี้พลาสติก เสียงคนเสิร์ฟถ้วยชามข้าวต้ม เสียงกระทบกันของแก้วน้ำ จนพอเมื่อพระสวดอีกครั้ง ทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับสู่ความเงียบ แล้วจากนั้น ก็ได้ยินเสียงพระสวดต่อ...
ตอนนั้น ผมสัมผัสชัดได้ว่า ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นคือ การรับรู้ ทุกๆ สิ่งคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ คือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยที่ตัวผมเองเป็นแค่ ‘อะไรสักอย่าง’ ที่เข้าไปรู้ มีการเข้าไป ‘รับรู้’ ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว แต่มันก็ไม่อาจบอกได้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นตัวผม เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ตัวผม !
ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ผมมาเรียกภายหลังว่าผมเจอตัว ‘ใจ’ ใจที่เป็น ‘ผู้รับรู้’ ตัวใจนี้เป็นที่ตั้งของทุกอย่างที่ปรากฏเข้ามาในอายตนะทั้งหมดมันเป็นแค่อาการรู้ แต่มันไม่มีตัวตนใดๆ ของมันเลย ซึ่งปัญหาหรือความทุกข์ต่างๆ กันเกิดขึ้น ก็เมื่อตัวใจที่ไม่รู้ความจริงนี้ ไปยึดถือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เราเลย มันเป็นอะไรสักอย่างที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ต้องผ่านไปเสมอ
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนทุ่มเศษๆ ของวันนั้น ไม่ใช่ความรู้ที่เคยอ่านเคยฟังมา มันเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสความจริงในใจของเราเอง เราเข้าใจ เราประจักษ์ในขณะนั้นเลยว่า โอ้! นี่เอง เป็นอย่างนี้เอง นี่ใช่ไหมที่เรียกว่า ‘ความว่าง’ ความว่างจากตัวตน เป็นความว่างที่ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลยนะ แค่ว่างจากความเป็นเรา แต่ว่าทุกๆ อย่างดำรงอยู่ในนั้น
หากพูดในภาษาที่เคยได้ยินจากครูบาอาจารย์ท่านจะเรียกว่าพบ ‘ฐาน’ ของจิต หรือถ้าในสายของผู้ตื่นรู้ทางตะวันตกคือ ‘Awareness - Pure Awareness’ ซึ่งหลังจากผมเจอใจแล้ว มันแปลกมาก มันเหมือนเราจะสามารถกลับไปตรงนั้นเมื่อไรก็ได้ เพราะเรารู้จักมันแล้ว เราเจอใจเราแล้ว
เหมือนว่าก่อนหน้านั้นเราไม่รู้มาก่อนเลยว่าตรงนี้มีเก้าอี้วางอยู่ พอวันหนึ่งที่รู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน เราก็สามารถกลับไปนั่งที่เก้าอี้นั้นเมื่อไรก็ได้
แม้ว่าการตื่นรู้ในชีวิตของผมนั้นมีอยู่หลายครั้ง แต่การได้ค้นพบ ใจกลางของความว่าง ณ ใจกลาง ในระหว่างการบวชครั้งนี้ ผมถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ธรรมที่เป็นหมุดหมายสำคัญของการเดินทางบนเส้นทางเพื่อความเข้าใจและเข้าถึงความจริงของชีวิตของผมเลยทีเดียว
***