top of page

“ก่อนที่ผมจะมีโอกาสเข้าคอร์ส 10 วันของท่านโกเอนก้า... 
ผมมีความเชื่อว่า คอร์สนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคอร์สปฏิบัติธรรม
หรือคอร์สเปลี่ยนชีวิตที่ดีที่สุดในโลก . . . . ”
. . . . . . . .

4-15 เมษายน 2561 นับเป็นครั้งแรกผมและภรรยาได้เดินทางไปเข้าคอร์สปฏิบัติวิปัสสนา 10 วัน ของท่านโกเอนก้า ณ ธรรมกาญจนา จังหวัดกาญจนบุรี

 

เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมและภรรยาได้ปฏิบัติธรรมในสถานที่และช่วงเวลาเดียวกัน และเป็นครั้งที่ 3 สำหรับผมได้มีโอกาสกลับเข้าไปสู่ร่มพระสัจธรรมในพระพุทธศาสนาแบบเต็มรูปแบบ ครั้งที่ 1-2 ผมได้โกนหัวเปลี่ยนสถานะเป็นพระสงฆ์ระยะสั้น แต่ครั้งนี้ ผมได้ลิ้มรสพระสัทธรรมอีกครั้งในรูปแบบของฆราวาส แต่ทว่า บรรยากาศ ความเข้มข้นในการปฏิบัติ และปริมาณของความรู้ทางธรรมที่ได้รับครั้งนี้ นับว่ามากมายกว่าตอนบวชเสียอีก

ผมพบว่า ขั้นตอนการปฏิบัติในแต่ละวันของคอร์ส 10 วันนี้ ถือว่าได้รับการออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม เปี่ยมด้วยกุศโลบาย ทั้งความเข้มข้น ความเหมาะสมและทรงประสิทธิภาพยิ่ง แม้ใครก็ตามที่พอทราบกำหนดการปฏิบัติก่อน ก็อาจรู้สึกว่าเป็นคอร์สที่หนักสาหัสเอาการ

เพราะต้องนั่งสมาธิ เจริญสติวิปัสสนากันถึงวันละไม่ต่ำกว่า 8-10 ชั่วโมง ซึ่งผมก็เป็นคนนึงที่นึกหวั่นใจกับคอร์สนี้มาตลอด เพราะเกิดมายังไม่เคยนั่งสมาธินานเป็นชั่วโมงๆ เลยด้วยซ้ำ (จะไหวไหมนี่)

แต่พอมาได้สัมผัส จึงเข้าใจถึงเหตุผลและที่มาที่ทำให้หลักสูตร 10 วันถูกออกแบบมาเช่นนี้ นับตั้งแต่การเริ่มต้นให้เรา สมาทานศีล 5 หรือศีล 8 (สำหรับศิษย์เก่า) เพื่อเตรียมความพร้อมของกายและใจ ก่อนเข้าสู่การฝึกสมาธิ และเจริญปัญญาในที่สุด ซึ่งถูกตรงตามหลักธรรมในการการพัฒนาชีวิตของสัทธรรมในพุทธศาสนา อันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา

ใน 3 วันแรก เป็นการฝึกสมาธิและเจริญสติตามรู้ตามดูลมหายใจหรืออาณาปาณสติ ซึ่งในตอนเวลาฟังคำสอนเวลาเย็นของวันที่ 3 ท่านโกเอนก้า ได้กล่าวให้กำลังใจผู้ปฏิบัติทุกคน ที่อุตส่าห์สู้อดทนจนครบวันที่ 3 พร้อมกับให้กำลังใจว่า พรุ่งนี้วันที่ 4 จะเป็นวันแรกที่การปฏิบัติจะเข้าสู่วิปัสสนาเสียที

วิปัสสนา คือ อะไร ?
วิ หมายถึง วิเศษ พิเศษ
ปัสสนา หมายถึง ทัศนา การมองเห็น การแลเห็น
อะไร สิ่งใด อย่างไรหรือ คือ การเห็นที่วิเศษ

วิปัสสนา คือ การเห็นที่วิเศษที่สุดของชีวิต 
ซึ่งนั่นก็คือ การเห็นความจริง นั่นเอง

 

ท่านโกเอนก้าได้เน้นย้ำหลายครั้งว่า การฝึกปฏิบัติครั้งนี้ คือ การนำกายใจของเรามาเข้าห้องผ่าตัด มาเข้าห้องทดลองวิจัยที่แท้จริง โดยพื้นที่จริงของการวิจัยครั้งนี้ ไม่เกินไปกว่าพื้นที่ทั้งหมดของกายและใจของเราเอง

 

ซึ่งการเห็นที่แท้จริงนี้ ไม่อาจเห็นได้ด้วยการอ่าน จำ ฟัง หรือเข้าใจถ้อยคำ คำสอนเกี่ยวกับความจริง ไม่ว่าจะเป็นความจริงจากถ้อยคำของครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

 

ท่านเน้นย้ำว่า เพราะถ้อยคำเหล่านั้น 
คือ ความจริงของอาจารย์หรือผู้รู้แจ้งเหล่านั้น
ไม่ใช่ ความจริงของเรา หาใช่ ความจริงของเรา
ความจริงที่แท้จริงของเรานั้น
เรา ต้อง เห็น ด้วย ตนเอง ... เท่านั้น

 

ตลอด 10 วัน ท่านได้เล่านิทานและเรื่องเล่ามากมายหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องไม่เพียงสนุกสนาน แต่ยังแฝงแง่คิดและแรงบันดาลใจทางธรรมไว้อย่างมากมาย จนทำให้ทุกการฟังธรรมยามเย็น เป็นช่วงเวลาที่ทุกๆ คนรอคอย เพื่อที่จะได้รับฟังคำสอนจากครูอาจารย์ที่เรารัก

 

และในกลางคืนวันที่ 3 ท่านก็ได้เล่าถึง เรื่องราวของ เด็กยากจน 2 คน คนหนึ่งเป็นเด็กปกติ แต่อีกคนเป็นเด็กตาบอด วันนึง เด็กตาบอดไม่สบาย เด็กปกติจึงได้มีโอกาสออกไปหาอาหาร และโชคดีที่วันนั้น มีคนให้ “ขนมคีร์” ขนมคีร์ เป็นขนมที่ทำจากน้ำนมและธัญพืชต่างๆ มีสีขาวและรสชาติหอมหวาน

 

ครั้นพอกลับมา เด็กตาบอดได้พยายามรบเร้าให้ เด็กที่ได้ลิ้มรสขนมคีร์ ช่วยอธิบาย “ความเป็นขนมคีร์” ให้เขารับรู้หน่อย แต่ไม่ว่า เขาจะทั้งพยายามพูดอธิบายอย่างไร จะนำสิ่งของต่างๆ มาให้เด็กตาบอดลูบคลำจับต้อง แต่กระนั้น “ขนมคีร์” ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่รู้แจ้ง จับต้องไม่ได้ และไม่รู้จักจริง สำหรับเด็กตาบอด

 

*

***

(*สามารถอ่าน คำสอนของท่านโกเอนก้า ตอน “ขนมคีร์” ได้จากลิงค์นี้ครับ)

 

และตอนท้าย ท่านก็ได้สรุปอย่างน่าฟังว่า 
“ความจริง” ก็เช่นกัน จนกว่าเราจะได้สัมผัส ได้เห็น ได้ลิ้มรสด้วยตนเอง

“ความจริง” ที่เรายังไม่เคยได้สัมผัสจริง มันก็แค่ คำบอกเล่า 
ข้อมูล ความคิด ความจำ และความเชื่อ ยังไม่ใช่ 
และห่างไกลจาก “ความเป็นจริง” ของ “ความจริง” อยู่นั่นเอง

แล้วท่านก็ได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า พรุ่งนี้ในวันที่ 4 จะเป็นวันแรกของการปฏิบัติวิปัสสนา และจะเป็นครั้งแรกที่ทุกๆ คน จะได้ฝึกเฝ้าดู สังเกต และสัมผัส “ความจริง” กัน

วันรุ่งขึ้น ในมื้อกลางวันของวันที่ 4 ขณะที่กำลังถือถาดอาหารไปตักอาหาร ผมเดินผ่านโต๊ะที่วางหม้อขนมซึ่งภายในมีน้ำสีขาวบรรจุอยู่กว่าครึ่งหม้อ และมีป้ายเล็กๆ สีฟ้าเขียนกำกับข้างหม้อว่า “ขนมคีร์” และแน่นอน ผมไม่พลาดที่จะลองตักขนมคีร์มาสักถ้วย เพื่อมาทานหลังอาหาร

หลังกินข้าวหมด ผมใช้มือเลื่อนถ้วยขนมคีร์ที่ตักมาตรงหน้า ขณะที่ใช้ช้อนคนในถ้วยขนม ในใจผมย้อนระลึกถึงเรื่องของเด็กยากจนสองคนนั้น และด้วยกฏของการปฏิบัติที่ห้ามไม่ให้ทุกคนพูดจากันตลอด 9 วัน ทำให้ผมไม่สามารถหันไปถามเพื่อนหรือธรรมบริกรได้ว่า ทำไมวันนี้ จึงมีขนมคีร์ให้รับประทาน เป็นเจตนาของสถานปฏิบัติที่จัดเมนูนี้หลังจากที่เราเพิ่งได้ฟังเรื่องขนมคีร์เมื่อคืน หรือว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ?

ในขณะที่ผม ตักขนมคีร์ใส่ช้อน และก่อนที่จะส่งเข้าปากของผม
ผมมองน้ำสีขาวขุ่น ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายๆ ถั่วหรืออะไรสักอย่างลอยอยู่

สำหรับผมแล้ว ขนมคีร์ คือชื่อเรียก คือความทรงจำ
คือขนมในเรื่องราวที่เพิ่งเคยได้ยินได้ฟัง 
แต่สำหรับรสชาติของมันแล้ว 
สำหรับผม มัน คือ อวิชชา คือ ความไม่รู้

มันคือสิ่งที่ผม(ยัง)ไม่รู้ และไม่อาจคาดเดาหรือคิดคะเนไปได้ว่า
มันจะมีรสชาติเป็นแบบไหนอย่างไร ? 
เพราะทุกๆ สิ่ง ทั้งกลิ่นและรสชาติที่ผมคิดหรือจินตนาการไว้ในหัว 
ก่อนที่ผมจะส่งขนมช้อนนั้นเข้าปาก มันก็ไม่อาจเป็นอะไรมากไปกว่า
“ความคิดปรุงแต่ง” (สังขาร) ที่ผมมีต่อขนมที่เพิ่งได้ยินชื่อมาเมื่อคืน

และอีกไม่กี่วินาทีจากนั้น 
ขนมคีร์คำแรกในชีวิต ก็เดินทางสู่ปลายลิ้นของผม
ในขณะขนมทั้งคำกำลังกลิ้งไปมาในช่องปาก
“อวิชชา หรือ ความไม่รู้” เกี่ยวกับขนมคีร์ของผม...ก็สิ้นไป

รสชาติของขนมคีร์ . . . เช่นนี้เอง . . .

ต่อจากนั้น ในขณะที่ผมตักขนมคีร์คำที่สองที่สามที่สี่เข้าปาก
ผมก็รู้สึกได้ว่า มีสายน้ำอุ่นๆ ไหลจากสองตามาผ่านสองแก้ม...

ใช่ ขนมคีร์มีรสชาติดีทีเดียว มันไม่เหมือนขนมใดๆ ที่ผมเคยทานมาก่อน
ทว่า น้ำตาที่ไหลออกมา ไม่ได้มีเหตุจากรสชาติของมัน 
มันเป็นน้ำตาแห่งความปิติที่ได้สัมผัสกับคำสอนของท่านโกเอนก้า
ไม่ใช่แค่ภายในปากของผม ในขณะนั้น 
ผมรู้สึกถึงความอิ่มเอมอย่างหมดหัวอกหมดหัวใจ

เพราะเหนือไปกว่ารสชาติหอมหวานของขนมคีร์ที่ได้ลิ้มรส
ผมรู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับความรักและความปรารถนาดีของท่านโกเอนก้า
ซึ่งแม้กายสังขารของท่านจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว 
แต่ความเมตตาและความรักที่ท่านมีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไม่จำกัด
เชื้อชาติศาสนา ลัทธิหรือความเชื่อใดๆ

ผมเหมือนสามารถรับรู้ได้ถึง ความรักความปรารถนาดี
ที่ท่านมุ่งหวังอยากให้ทุกๆ คนได้มีโอกาสสัมผัสกับความจริงด้วยตนเอง 
ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด
ทั้ง รสชาติของขนม และ รสชาติของความจริงในคอร์สทั้ง 10 วันนี้ 
ถูกปรุงจากหัวใจอย่างบรรจงเพื่อคนทั้งมวล
ได้ลิ้มรส “รสชาติของความจริง” ด้วยตนเอง
ผ่านประสบการณ์จริงของตนเองด้วยตนเอง

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ท่านเพียงพูดไว้หรือตั้งใจ 
แต่ท่านได้ลงมือทำ ได้ใช้เวลามากมายหลายสิบปีของชีวิตของท่าน
ในการแผ้วถางเส้นทางเดินไปสู่ “ความจริง” นี้ 
หนทางอันเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ 
เคยประกาศและชี้ทางออกจากทุกข์ไว้เมื่อกว่า 2,500 ปีที่แล้ว

และบัดนี้ ...หนทางยังอยู่ 
เส้นทางที่กัลยาณมิตรได้นำทางไว้ก็ยังมีอยู่ ... 
หน้าที่ของเรา ขอเพียงมีใจและมีความตั้งใจจริงในการออกเดินตาม 
พร้อมออกก้าวเดินด้วยสติ ระลึกรู้ ไปสู่ปัญญาญาณ
ในเส้นทางหนึ่งนี้ คือ กายและใจของเราเอง

. . . . . . . .

“ก่อนที่ผมจะมีโอกาสเข้าคอร์ส 10 วันของท่านโกเอนก้า... 
ผมมีความเชื่อว่า คอร์สนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคอรสปฏิบัติธรรม 
หรือคอร์สเปลี่ยนชีวิตที่ดีที่สุดในโลก . . . .

ถึงวันนี้ ผมสามารถยืนยันได้แล้วว่า ความเชื่อนั้น
ไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินเลยจากความเป็นจริงเลย...

ภะวะตุ สัพพะ มังคะลัง
ขอสรรพสัตว์ทั้งปวงจงมีความสุข

ด้วยรักและไมตรี

bottom of page